Thursday, 6 June 2013

น้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ แสดงหนังเรื่องแรกกับ Sky Exits Films Production ฉายแววรุ่ง ในโฆษณา SCG Experience

น้ำตาล พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ แสดงหนังเรื่องแรกกับ Sky Exits Films Production
ฉายแววรุ่ง ในโฆษณา SCG Experience  





พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ เกิด 30 สิงหาคม 253
หรือชื่อเล่นว่า น้ำตาล หรือในวงการนางแบบใช้ชื่อว่า น้ำตาล ฮานะ (อักษรโรมัน: Namtarn Hana)

เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทย มีชื่อเสียงจากการเป็นเน็ตไอดอล และการแสดงนำในละครเรื่อง มัจจุราชสีน้ำผึ้ง เมื่อ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นผลงานละครเรื่องแรกของเธอ พิจักขณาเกิดที่จังหวัดแพร่









บิดาเป็นข้าราชการตำรวจ มารดาเป็นข้าราชการเช่นกัน มีน้องชายหนึ่งคน อายุห่างกันหกปี พิจักขณาศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย ณ โรงเรียนม่วงไข่พิทยาคม จังหวัดแพร่ ระหว่างนั้นเคยแต่งนิยาย แต่เลิกไปก่อนจะเสร็จสิ้น

เมื่อสำเร็จมัธยมศึกษาแล้ว พิจักขณาได้เข้าเล่าเรียนต่อที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[6] เพราะต้องการเป็นข้าราชการครูตามอย่างบิดามารดาที่เป็นข้าราชการ ขณะเป็นนักศึกษาปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น ได้เป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย และได้รับรางวัลเกี่ยวกับความงามหลายรางวัล ซึ่งรวมถึง รางวัลขวัญใจมหาชนในการประกวดมิสซีเอ็มยูลีก (Miss CMU League) รางวัลสาวหน้าใสของนิติพลคลินิก








ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตในวงการบันเทิงบ้าง

น้ำตาล ตอบว่า

หลายอย่างที่ทุกคนค่อนข้างเป็นห่วงและจะคอยสอนตาลตลอดตั้งแต่เข้ามาในวงการ คือเรื่องของการวางตัว ในเรื่องของกิริยามารยาท ส่วนในเรื่องความเป็นตัวเรา ทุกคนก็จะบอกว่าน้ำตาลเคยน่ารักยังไง ก็ให้น่ารักอย่างนั้น เรื่องการเคารพผู้ใหญ่ สัมมาคารวะและกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะว่าตาลเป็นคนแพร่ คุณปู่คุณย่าตาลเองก็ค่อนข้างหัวโบราณมาก เลยจะถูกสอนเรื่องนี้มาตลอด







@@ หัวใจนางเอกใหม่
 ผู้ชายอุดมคติของ "น้ำตาล" เป็นยังไง

น้ำตาลตอบว่า....

 ตาลเป็นคนที่ค่อนข้างจะห้าวและเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง การมั่นใจในตัวเองในที่นี้ หมายถึงว่าอย่างอยากที่จะไปภูเขา ฉันก็ไป อยากไปกับเพื่อนฉันก็ไป อาจจะไม่ได้มีแพลนอะไรไว้เลยก็ได้ เพราะฉะนั้นตาลเลยไม่ชอบผู้ชายสำอางค์ ต้องเป๊ะ ต้องแต่งตัวเนี้ยบ ต้องนั่นต้องนี่ เพราะตาลเป็นคนไม่แต่งหน้าออกนอกบ้าน ซึ่งเขาเองก็ต้องไม่แต่งหน้าออกนอกบ้านได้เหมือนกัน


ต้องเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ส่วนเรื่องลักษณะภายนอก ชอบผู้ชายที่สูงกว่า เพราะว่าตาลสูง 172 ซม. และความสูงเป็นความภูมิใจสำหรับตาลมาก แล้วต้องเป็นผู้ชายอายุมากกว่า ต้องเป็นคนที่นำตาลได้ เพราะตาลเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูงอยู่แล้ว และที่สำคัญเลยต้องเป็นคนที่รักครอบครัว







ในปี 2555 อรุโณชา ภาณุพันธุ์ ผู้บริหารบริษัทบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น 

เลือกพิจักขณาให้แสดงเป็นรจนาไฉน นางเอกในละครโทรทัศน์เรื่อง มัจจุราชสีน้ำผึ้ง แทนทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ที่ขอถอนตัวออกไปเนื่องจากเพิ่งสมรสกับสงกรานต์ เตชะณรงค์ และละครต้องถ่ายทำในต่างจังหวัด คือ จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ พิจักขณาจึงเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่ได้รับบทนำทันทีที่เล่นละครเป็นครั้งแรก และเพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพนักแสดง พิจักขณาจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาศึกษายังคณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา 





รับมือกับกระแสข่าวในวงการที่เข้ามาอย่างไง
น้ำตาลตอบว่า ....

 ก่อนหน้านี้เราก็ท้อนะ เพราะว่าบางทีเราก็เจอคนว่า ทั้งที่เขาไม่รู้จักเราเลย อย่างบางคนก็ว่าหยิ่ง แต่จริงๆแล้ว ตาลไม่ได้เป็นคนหยิ่ง แต่เป็นคนหน้านิ่ง เลยดูดุๆ แล้วตาลเป็นคนที่ชอบเดินก้มหน้า บางทีเขายิ้มให้เรา เราอาจไม่ได้ยิ้มตอบเขา ด้วยความที่เราไม่เห็นหรืออะไรก็ตาม อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับเรา เลยทำให้ตาลเลยก้มหน้าไว้ก่อน เพราะกลัวใครว่า แล้วตาลเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะอายหากจะไปเจอสังคมใหม่ๆ ที่เราไม่รู้จัก เราวางตัวไม่ถูก แต่ถ้าสนิทแล้ว จะเจออีกโหมดหนึ่งเลย คือทุกคนจะพูดเลยว่า น้ำตาลหยุดพูดได้ไหม แล้วเป็นคนชอบเล่นมุกแป้ก แต่ก็ยังจะเล่น

อีกอย่างตาลเป็นคนที่แคร์คนอื่นมาก และเวลาเจอใคร สนิทกับใคร ตาลจะให้ใจไปเต็มร้อย โดยที่คนๆ นั้นอาจจะไม่จริงใจกับเราก็ได้ แรกๆ เข้าวงการตาลร้องไห้ทุกวัน เพราะโดนวิจารณ์อย่างนั้นอย่างนี้ โทรหาคุณแม่ตลอด คุณแม่เลยบอกว่าเราทำดีหรือเปล่า ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะให้เราทำดีกว่านี้เราก็ทำไม่ได้ อย่าไปแคร์ทุกคำพูดที่ไม่หวังดีกับเรา คุณแม่บอกตาลว่าคำพูดไม่สามารถฆ่าคนได้ แต่มันเหมือนเป็นมีดที่เขายื่นมาให้เรา ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเอามีดนั้นมาแทงตัวเองหรือเปล่า ตาลจำคำสอนนี้ของคุณแม่มาตลอดถึงทุกวันนี้









ละครเรื่องแรก ละครเรื่องแรกในชีวิต "มัจจุราชสีน้ำผึ้ง" เป็นไงมาไงถึงได้มาเล่นเรื่องนี้

น้ำตาลก็มาแคสติ้งตามปกติ โดยเลือกฉากที่ยากที่สุด 3 ฉากมาเล่น แล้วนำเสนอให้ช่องพิจารณาอีกที ซึ่งฉากที่ยากที่สุดคือฉากร้องไห้ เพราะว่าละครเรื่องนี้ จะหนักไปทางของดราม่า และต้องร้องไห้เยอะมาก เพราะตัวละครของรจนาไฉน ที่เป็นนางเอกของเรื่อง

เป็นตัวละครที่ค่อนข้างถูกกระทำจากหลายๆคน พอมาเจอฉากร้องไห้ยอมรับว่าหินมาก ยิ่งช่วงแรกๆ เราไม่เคยเรียนแอ๊คติ้งมาก่อนด้วย เราพยายามที่นึกถึงเรื่องราวที่เราเสียใจ แต่เมื่อเราได้มีโอกาสได้เรียนแอ๊คติ้ง และได้มีโอกาสแสดงละคร แล้วเราไปนึกถึงเรื่องอื่น ทำให้เราจำบทไม่ได้

ดังนั้นเราเลยได้รู้ว่าเราต้องอินกับการแสดงจริงๆ ต้องรู้สึกว่าเราเป็นรจนาไฉนจริงๆ ถึงร้องไห้ได้ การได้มาเรียนการแสดงสอนอะไรให้กับนางเอกใหม่อย่าง "น้ำตาล" บ้าง ช่วยเยอะมาก ก่อนหน้านี้ตาลไม่เคยเรียนแอ๊คติ้ง ยิ่งในส่วนของการแสดงไม่ถนัดเลย เพราะว่าตาลเรียนครูมาก่อน ตาลเรียนคณะศึกษาศาสตร์ที่ มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เราไม่ได้เรียนด้านนิเทศฯ มา เลยไม่รู้ว่าการแสดงเป็นยังไง พอได้มาเรียน ทำให้เรารู้ว่าเราสมควรที่จะตีโจทย์ของตัวละครตัวนี้เป็นยังไง เราควรเชื่อมอะไรแบบไหน ทำให้เราสื่ออารมณ์มาได้ถูกต้อง ตามที่ผู้กำกับต้องการ







บท "รจนาไฉน" มีอะไรที่คล้ายและแตกต่างกับ "น้ำตาล" บ้าง ที่คล้ายคือเรื่องของเวลาส่วนตัว

เพราะว่ารจนาไฉนในเรื่องเวลาส่วนตัวของเขาจะร่าเริงแจ่มใส เป็นผู้หญิงปกติธรรมดาทั่วไป แต่ที่ต่างมากๆ คือรจนาไฉนเป็นผู้หญิงค่อนข้างเรียบร้อย จบการบ้านการเรือน จะเก่งในเรื่องของเย็บปักถักร้อย ทำอาหาร และเขาเป็นคนที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ระบายออกมาด้วยการร้องไห้ จะยอมทุกคน เว้นพระเอกคนเดียว เพราะว่ารู้สึกว่าสิ่งที่พระเอกทำไม่ถูกต้อง

แต่ในตัวจริงของตาล เราเป็นคนห้าวๆ และค่อนข้างเป็นคนที่มีความมั่นใจ ถ้าเราทำสิ่งอะไรที่ถูกต้อง เป็นคนที่ชัดเจนในตัวเอง ถ้ายอมคน เราต้องดูเหตุและผลของเรื่องนั้นๆด้วย และเป็นคนที่ชอบอธิบายและมีเหตุผลมากกว่าร้องไห้






แต่ลุคส์ที่หลายคนเห็น "น้ำตาล" ไม่ได้ดูห้าวเหมือนอย่างที่บอกเลย


นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ได้มารับบทนี้ เพราะลุคส์ภายนอกอย่างหน้าตาของตาล จะหนักไปในทางหวานเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ไลฟ์สไตล์ของตาลจะเป็นแบบห้าวๆ ชอบแบกกระเป๋าไปเที่ยวลุยๆ ไม่กลัวความลำบาก อย่างในเรื่องนี้ มีบทบู๊นิดเดียว เรียกว่าเสี้ยวเดียว แต่เราชอบมาก เพราะว่าตาลเองเป็นนักกีฬามาก่อน ทั้งนักกีฑา นักฟุตบอล และเรียนเทควันโดมาด้วย ก็เลยชอบ ถ้ามีโอกาสข้างหน้า อยากที่จะเล่นบทบู๊ ตาลว่าการเล่นบู๊เป็นการได้ปลดปล่อย เพราะอย่างนางเอกในเรื่องนี้ เลือกที่จะระบายออกมา ด้วยการร้องไห้ แต่ถ้าเป็นตาลเลือกที่จะบู๊ดีกว่า เพราะชีวิตจริงตาลมีคุณพ่อเป็นตำรวจ และมีพี่น้องเป็นผู้ชายหมดเลยด้วย ตาลเองไม่ชอบอะไรที่หวานๆ รจนาไฉนเลยต่างจากตาลอย่างสิ้นเชิงเลย







เรื่องนี้ตอนแรกวางตัวนางเอกว่าเป็น "แอฟ" ทักษอร เตชะณรงค์ แล้วเรามาเสียบแทนกดดันไหม

มีกระแสมาเรื่อยๆ เพราะว่าความที่เริ่มต้นเป็นพี่เคน (ธีรเดช) กับพี่แอฟ ซึ่งพี่ทั้งสองคนเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ เก่งมากในเรื่องของการแสดง ตัวตาลเองเป็นแฟนคลับ ทั้งพี่เคนและพี่แอฟ ยิ่งพี่แอฟในเรื่องของดราม่าพี่แอฟเป็นขั้นเทพเลย เป็นนางเอกเจ้าน้ำตาที่เก่งมาก แล้วพอเราต้องมาเล่นแทนพี่เขา พอมีกระแสออกมา ทำให้เราเครียด และมากดดันตัวเอง ซึ่งตาลเองไม่สามารถมาแทนพี่แอฟได้อยู่แล้ว แต่ในเรื่องของการแสดงเรื่องนี้ ตาลจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า เลยตัดความกดดันตรงนั้นไป และมากดดันในเรื่องของการแสดงแทน






ความคาดหวังกับการมาเป็นนางเอกเรื่องแรก คาดหวังจะให้คนดูได้เห็นรจนาไฉน

ในบทนางเอกที่น่าสงสาร เป็นผู้หญิงที่ถูกกระทำจากบุคคลหลายๆคน อยากให้ทุกคนมาลุ้นว่า ผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เป็นคนดีได้อย่างไรเพราะว่ารจนาไฉนในเรื่องนี้ จะเชื่อมั่นในเรื่องของความดี และความรักว่าสามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ ในส่วนที่ว่าบทนนี้ จะทำให้ตาลดังหรือไม่ดัง จะไปได้ถึงไหน ให้เป็นเรื่องของอนาคต ตาลเองไม่อยากจะคาดหวังตรงนี้มากมาย เพราะเดี๋ยวเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาก แล้วเราจะเสียใจ

 @@ ได้ "เคน" ป๋าดัน ละครเรื่องแรกก็ได้เป็นนางเอกของพระเอกซูเปอร์สตาร์อย่าง "เคน" ธีรเดช เป็นอย่างไงบ้าง ยอมรับเลยว่ากดดัน เพราะพี่เคนเป็นซูเปอร์สตาร์ ที่เราเห็นแต่ในโทรทัศน์มาตลอดเลย ติดตามผลงานของพี่เขามาตลอด แล้วเรารู้ว่าพี่เขาเป็นคนเก่ง แล้วพอมาเล่นละครคู่กับพี่เขา เราจะทำยังไงดี แต่พอมาเจอพี่เคน พี่เขาเป็นคนเฟรนลี่มาก เขาเป็นคนที่ดูแลทุกคน ดูแลน้องทุกๆ คน พี่เคนเป็นเหมือนอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาและแนะนำเราตลอด ทำให้รู้สึกอบอุ่น

 "เคน" แนะนำอะไรให้กับนางเอกใหม่อย่าง "น้ำตาล" บ้าง ละครเรื่องนี้เป็นละครดราม่า มีซีนอารมณ์เยอะ ทำให้เรากังวลในเรื่องของบท เรื่องการบล็อกกิ้ง ซึ่งพี่เคนก็จะคอยบอกว่า ไม่ต้องคิดว่ามันต้องเป๊ะมาก ทำตัวให้สบาย ทำใจให้สบาย เขาก็จะชวนเล่น แต่พอใกล้จะถ่าย พี่เขาก็จะบอกว่าให้เราไปทำสมาธิ หรือบางทีเขาก็จะคอยถาม ว่าไปทำการบ้านมาเป็นยังไง และให้คำแนะนำว่าเราทำการบ้านมาถูกไหม พี่เขาก็จะบอกว่าในบทเขาจะเป็นแบบนี้ แล้วเราจะเป็นแบบนี้ พอหลังๆ เราเลยจับทิศทางของตัวละครสองตัวนี้ได้แล้ว ต้องขอบคุณพี่เคนมาก ที่มาคอยสอนและให้คำแนะน้ำตาล






ฉากที่ประทับใจที่สุดในเรื่องนี้มุมของ "น้ำตาล" คือฉากไหน

 ฉากที่ไร่ชา เพราะว่าด้วยบรรยากาศ วิวทิวทัศน์ที่นั่นสวยมาก และอีกอย่างจุดไคล์แม็กซ์ของเรื่องนี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะในเรื่องพระเอกเป็นเจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในจ.เชียงราย ไร่ชาเลยเป็นส่วนประกอบหลักของเรื่อง และมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นที่นั่น จุดพีคที่สุดก็เกิดขึ้นที่ไร่ชาแห่งนี้ ในเรื่องนี้ชาคือจุดสำคัญของเรื่อง

 มาพูดดถึงฉากเลิฟซีนกันบ้าง เพราะเป็นการได้เลิฟซีนกับพระเอกอย่าง "เคน" ธีรเดช ด้วย

 บอกเลยว่าเขินมาก เพราะละครเรื่องนี้เป็นละครที่มีซีนอารมณ์เยอะ ฉากกุ๊กกิ๊กในเรื่องเลยมีน้อย มันยิ่งทำให้เขิน เพราะมันไม่ได้เล่นเยอะ แล้วอีกอย่าง เราดูพี่เคนมาตลอดในทีวี พอต้องมาเข้าฉาก เราก็มีหลุดเป็นน้ำตาล ไม่ใช่รจนาไฉน ซึ่งเราก็อู้ย!! นั่นพี่เคนนะ พอเข้าฉากไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มกลับมาเป็นรจนาไฉนแล้ว เนื่องจากมีเหตุผลของเรื่องนำพาไป ทำให้รู้สึกว่าถึงเขินแต่ก็โอเค ส่วนเรื่องฉากจูบจริง มีบ้างแต่น้อย







@@ ชีวิตนอกจอ

 ตอนแรก "น้ำตาล" บอกว่าเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ทำไมตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว

 คือตาลตัดสินใจลาออก เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะว่าตาลอยากเป็นครูมาก ชอบเข้าค่าย ชอบออกค่ายอาสา ทำให้ไปเห็นชีวิตชนบท ชีวิตชาวเขา เราไปเห็นว่าเขาลำบากและต้องการการศึกษา มันเลยเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ เพราะว่าตาลอ่านหนังสือที่เตรียมเข้าสอบที่มช. และเข้าโครงการพิเศษของมช. ที่ชื่อว่าโครงการศึกษาครูภาษาไทย พอเรามีโอกาสได้เข้ามา เราก็ตั้งใจที่จะเรียน และอยากที่จะจบไปเป็นครู แต่ตรงนั้นเป็นความฝัน ตรงนี้สำหรับตาลมันเป็นโอกาส ตาลว่าโอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ และมีอีกหลายคน ที่อยากได้โอกาสนี้ เพื่อเข้าสู่วงการบันเทิง เมื่อตาลได้โอกาสนี้มา ต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะเลือกอะไร เลยปรึกษาทางคุณพ่อและอาจารย์ ซึ่งเห็นตรงกันว่าโอกาสไม่ได้มาได้ง่ายๆ เราควรคว้าไว้ แต่สำหรับความฝัน เมื่อเราถึงจุดหนึ่งขึ้นมา เราอาจพักงานในวงการบันเทิง แล้วไปเรียนครูอย่างจริงจังก็ได้ ตอนนี้ขอทำให้โอกาสตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ตอนนี้ตาลย้ายมาเรียนที่สวนสุนันทา คณะนิเทศศาสตร์






ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่กับใคร และชีวิตตอนนี้เป็นยังไง


 ต้องบอกว่าชีวิตตอนนี้เหนื่อยมาก เพราะว่าเรามาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว ไม่ได้มีคุณพ่อคุณแม่มาอยู่คอยดูแล การที่เรามาอยู่ที่นี่คนเดียว ทำให้เราต้องแบ่งเวลาในเรื่องของการเรียนและการทำงานให้ดี และเส้นทางในกรุงเทพฯ ก็เป็นอะไรที่เราไม่ชินเลย พยายามศึกษาเส้นทางไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ขับรถในกรุงเทพฯ เป็นแล้ว แต่ตาลก็โชคดีที่มีคุณลุงคุณป้าอยู่ด้วย พอมีปัญหาอะไรก็วิ่งหาคุณลุงคุณป้าได้ ท่านก็ให้ความช่วยเลือเราตลอด ส่วนในเรื่องของการใช้ชีวิต คุณพ่อคุณแม่ก็จะห่วงเรื่องของคนที่จะเข้ามา กลัวเขาจะมาคิดกับเราไม่ดี แต่ตาลเองเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ไม่ถึงกับไม่คบใคร แล้วตาลเองก็ค่อนข้างชินกับใช้ชีวิตคนเดียว เพราะว่าคุณพ่อ เคยส่งมาเรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ เราเลยคิดว่าเราจะต้องอยู่ให้ได้ ตอนแรกอาจจะมีท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง




ที่ผ่านมาเคยมีแฟนมาก่อนไหม

 ที่ผ่านมาก็เคยมี เพราะว่าเราเองก็เป็นวัยรุ่นและก็อายุระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็เลิกรากันไป ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเหมือนเดิม สำหรับเรื่องหัวใจตอนนี้ก็เรื่อยๆ มีคนที่ศึกษาและคุยกันไป ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในตอนนี้ขอโฟกัสในเรื่องของการทำงานและเรื่องของการเรียนมากกว่า ... เปิดเผย จริงใจสไตล์นางเอกยุคใหม่จริงๆ


"แม่หนูน้ำตาล" เธอคนนี้ชื่อ : พิจักขณา วงศารัตนศิลป์

ชื่อเล่น : น้ำตาล เกิด : 30 สิงหาคม พ.ศ. 2534

การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ที่ ราชภัฏสวนสุนันทา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ เอกวิทยุโทรทัศน์


























No comments: